หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความรักแท้


ความรักแท้
ความรักแท้จริง
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
ไม่มีรสชาติ ไม่มีคำพูด
ไม่มีรูปแบบ ไม่มีผิด
ไม่มีถูก
มีแต่จริงใจ มีแต่โอบกอด
มีแต่รอยยิ้ม มีแต่ร้องไห้
มีแต่เศร้าใจ มีแต่เสียใจ
มีแต่ความสุข
มีแต่ความทุกข์
มีแต่โลก มีแต่นรก
มีแต่สวรรค์
ความรักแท้สามารถสัมผัสได้ด้วยหัวใจของคนสองคนเท่านั้น



True love

True love

Colorless, odorless

No taste, no words

There is no wrong

there was

I have a sincere embrace.

I smile but cry.

But sadly, but grudge.

But happy

But suffering

But the world is hell, 

But heaven

True love can touch the hearts of two people only. 

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความรักของข้าพเจ้าคือ ?I want that one be you


ความรักของข้าพเจ้าคือ ?

I want that one be you

    ความรักของข้าพเจ้าคืออะไร ความรักนั้นอาจจะมีค่าดั่งอัญมณีทั้งเก้า อาจจะสูงส่งหรือแข็งแรงดั่งภูผาสูง อาจจะดื่มด่ำหวานล้ำดั่งน้ำผึ้งในวันพระจันทร์แรม อาจจะสว่างไสวดั่งคบไฟเมื่อยามราตรีที่มืดมิด อาจจะอิ่มเอมเมื่อคราที่ลิ้มรสอาหารอันรสเลิศ อาจจะสดชื่นดั่งน้ำค้างตอนย่ำรุ่ง ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าไม่เคยรู้เลยว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวเป็นอย่างไรเพียงแค่ลุ่มหลงในบางเวลา กระชุ่มกระชวยหัวใจในยามที่แห้งแล้ง เพียงแค่ระเริงในวันที่หัวใจเกือบหยุดเต้น ข้าพเจ้ารู้จักแต่ความรักที่ให้กับตัวเองและไม่เคยคิดว่าจะคาดหวังสิ่งใดจากความรัก  และอะไรคือความรักกันแน่....

คนหนึ่งคนที่เดินทางบนเส้นทางสายชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตลอดมาหวังว่าใครคนนั้นที่บางสิ่งได้ประทานมาให้ผูกพันคงจะมีบางสักคนไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ข้าพเจ้าสุขใจเมื่อเห็นคนอื่นมีความรัก ข้าพเจ้าเศร้าใจเมื่อเห็นคนอื่นเสียใจจากความรัก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่คืออะไรกัน...
 
 
 

    ความรักของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้ารู้เพียงแต่ว่า ยางของยาง น้ำของน้ำ ความรักเป็นทั้งสิ่งเริ่มแรกและสิ่งสุดท้าย เมื่อยามรักข้าพเจ้ามีทุกอย่างตามแต่ใจปรารถนา เมื่อปราศจากความรักข้าพเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ความรักเป็นทั้งศรัทธาทั้งหลาย คือความหวังของทุกสิ่ง ความรักเป็นเสมือนพิภพ คือทุกอย่างที่เกิดจากโลกแล้วก็กลับไปสู่โลก ความรักคืออะไร พูดได้ยากบอกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ยากนักที่ผู้มีรักจะรู้สึกตัว

 พลังแห่งรักเป็นของขวัญอันมีค่าที่บางสิ่งบางอย่างประทานให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการรักตัวเอง รักคนอื่น รักสิ่งของ รักอะไรก็ตาม เพราะความรักสถิตอยู่ในดวงจิตเท่านั้น ความรักเกิดจากความรู้สึกนอกเหนือจากความเข้าใจ หาใช่ร่างกายไม่ มนุษย์ไม่อาจทำความรักสุกงอมได้ จนกระทั่งหลังจากผ่านความเศร้า ความพลัดพราก ความอดทน ความขมขื่นและความทุกข์ยากอันแสนทรมานและสิ่งเหล่านั้นจะเป็นการตีค่าความรักของมนุษย์ซึ่งจะมีให้กับฝ่ายตรงข้าม

    ความรักของข้าพเจ้าจะเปรียบด้วยดอกไม้ใด ๆ ไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าได้ยินคำกล่าวว่า ความรักที่แท้จริงไม่ใช่สีแดงดั่งสีพฤกษาใด ๆ ความรักที่เปรียบดั่งดอกไม้นั้นย่อมไม่จีรังเหมือนดั่งดอกไม้ที่มีวันร่วงโรยได้ตลอดเวลาเมื่อโดนสิ่งใดกระทบกระทั่ง  ความรักที่แท้จริงนั้นย่อมมีสีดั่งสีนิล เหมือนดังสีพระศอพระศิวะ เมื่อทรงดื่มยาพิษร้ายเพื่อรักษาโลกให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกสีนิล คือความขมขื่นไว้ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่นที่มุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียวสุดท้ายแล้วความรักนั้นคืออะไร....

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความรักและการแสวงหาความรัก


ความรักและการแสวงหาความรัก
ข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปเรื่องเกี่ยวกับความรักว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักจริงๆ เมื่อไร  ข้าพเจ้าคิดว่า   บางครั้งก็แปลกเวลาข้าพเจ้าวิ่งตามบางครั้งมันก็มักจะวิ่งหนี  แต่พอข้าพเจ้าเหนื่อยและท้อไม่อยากจะตามมัน เจ้าความรักนี่กลับมาหยุดอยู่ใกล้ๆ  หรือข้าพเจ้าควรเปรียบความรักได้กับเงาของมนุษย์   ที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ตราบที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตคงยากที่จะหลีกเลี่ยงที่จะมีรัก หลายคนคงพยายามที่จะให้คำจำกัดความกับความรัก แต่แท้จริงแล้วคงยากที่จะจำกัดขอบเขตของความรัก เพราะคงไม่สามารถใช้ข้อกำหนดอะไรมาเป็นตัวกีดกั้นความรัก ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ ศาสนา อายุ หรือ แม้แต่เพศก็ตาม ถ้ามีคำถามว่าเมื่อไรความรักจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าคงยากที่จะตอบ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่ามนุษย์จะทราบด้วยความรู้สึก สัญชาติญาณเองว่าเมื่อไรความรักกำลังเข้ามาเยี่ยมเยือน



 ในชีวิตคนข้าพเจ้านั้นคงไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้สัมผัสความรู้สึก ว่าได้รักใครหรือกำลังถูกรักโดยใครบางคน อย่างไรก็ตามคนทั่วไปต่างมุ่งหวังที่จะอยู่ในอารมณ์ ที่จะรักใครมากกว่าที่จะถูกรักโดยใคร ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่ามนุษย์ข้าพเจ้าเคยชินกับการเลือกมากกว่าที่จะถูกเลือก  แต่ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดก็ตามกล่าวได้ว่าเป็นความรู้สึกที่ดีทั้งสิ้น มีมนุษย์หลายคนที่เกิดมาโดยไม่รู้จักหรือสัมผัสกับความรัก หรือบางคนไม่แม้แต่ที่จะรักใคร อารมณ์ความรักเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมากไม่สามารถสอนกันได้ แต่สามารถสื่อสารกันได้ด้วยความรู้สึกล้วนๆ ดังนั้นเมื่อใดความรักได้ผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือนและได้จากข้าพเจ้าไป จงอย่าเสียใจ เพราะนั่นทำมันให้ท่านได้สัมผัสความวิเศษสุด ในความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แล้ว   อย่างไรก็ตามอย่ากลัวที่จะรักอีก และข้าพเจ้าจะไม่พยายามสร้างขอบเขตและข้อจำกัดในรัก เพราะมิฉะนั้นข้าพเจ้าอาจจะไม่พบและไม่เจอะเจอมันอีกเลย หากแต่การจากลาของใครบางคนทำให้ข้าพเจ้าอ่อนแอ ข้าพเจ้าพยายามเข้าใจใหม่เสียว่า ข้าพเจ้าอ่อนแอตั้งแต่มีเขาเคียงข้างกายแล้ว แค่วันนี้ข้าพเจ้าไม่มีใครให้พักพิง
ในเมื่อข้าพเจ้าทิ้งเขาหรือเขาทิ้งข้าพเจ้าไปแล้ว ไม่แปลกหากน้ำตาที่ไหลริน ทำนบน้ำตาที่พังทลาย กับหัวใจที่สลายจนสิ้นไป เพราะใครบางคนที่ทิ้งไปในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสูญสิ้นทุกอย่างไป เป็นเพราะข้าพเจ้าได้นำทุกอย่างให้เขาไปต่างหากล่ะ ในตอนนี้ข้าพเจ้าคงทำได้เพียงนั่งร้องไห้ จนคิดว่า น้ำตามีไม่เพียงพอให้ไหลรินจนหมดใจนอกจากน้ำตาที่มันจะกัดเซาะบาดแผลในใจของข้าพเจ้าให้ลุกลามแล้ว มันยังเป็นน้ำกรดราดรดลงไปในใจคนรอบข้างที่รักข้าพเจ้าอีกด้วย ไม่ใช่เพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่เสียใจและเจ็บปวด ยังมีอีกคนที่เจ็บปวดไปพร้อมกับข้าพเจ้า   จงลืมตาขึ้นสิข้าพเจ้าบอกตัวเอง....... ข้าพเจ้าได้มองเห็น "คนที่รักข้าพเจ้า"  ที่ยืนเฝ้ามองข้าพเจ้าอยู่ห่างๆ อย่างห่วงใย นอกห้องออกไป นอกห้องที่ข้าพเจ้าขังตัวเองไว้เนิ่นนาน เขาพร้อมจะซับน้ำตาข้าพเจ้าทันทีที่ข้าพเจ้าเอ่ยปาก คนที่ยอมรับการตัดสินใจของคุณอย่างเจ็บปวด คนที่ใช้สองมือรองรับน้ำตาอย่างอาทร และพร้อมใช้ไหล่กว้างซับผ่าน.......ให้ไหลลึกลงไปสู่หัวใจ แต่ "คนที่ทำร้ายข้าพเจ้า" กำลังปล่อยมือช้าๆ และก้าวออกห่างคุณอยู่เลยๆ คนที่กำลังก้าวข้ามน้ำตาข้าพเจ้าไปอย่างรังเกียจ คนที่เห็นน้ำตาข้าพเจ้าเป็นเพียงหยาดน้ำ คนที่ไม่รับรู้เสียงสะอื้นที่ข้าพเจ้าร่ำไห้
 ข้าพเจ้าถือได้ว่าขาดแคลนความรู้สึกนั้นมานานแสนนาน  น้อยคนที่จะรักข้าพเจ้าจริง น้อยคนที่จะมองเห็นความรักของข้าพเจ้า  ไม่ว่าคนเหล่านั้นที่เข้ามาพัวพันกับข้าพเจ้าในสถานะใดทุกคนล้วนคาดหวังความรักของข้าพเจ้าทั้งสิ้น  ข้าพเจ้าพึ่งมาคิดได้ความรักนั้นไม่ใช่การเติมเต็มอย่างเดียวเปรียบเสมือนดินเหนียวก้อนหนึ่งที่ทุกคนมองให้มันสามารถปั้นแต่งรูปร่างได้ดังใจ  เมื่อเอาน้ำผสมเข้าไปมากดินเหนียวนั้นก็จะเละ  แต่ถ้าไม่เติมน้ำเลยดินก็จะแข็ง นั้นคือสัจธรรมที่สอนข้าพเจ้าว่าไม่มีอะไรเป็นความพอดีทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าพเจ้าตายตัว ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนจับต้องไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของข้าพเจ้าจริงๆ สักอย่างแม้แต่ความรักที่ข้าพเจ้ามองเห็นของพี่คนหนึ่งที่เขาเอาใจใส่ดูแลข้าพเจ้าดีมากในสถานะที่ข้าพเจ้าเป็นน้องสาวของเขา แต่ความรักที่เขามีให้นั้นก็เป็นดินเหนียวที่เติมน้ำมากเกินจนกลายเป็นตม และตมก็จะเลอะติดขาเวลาข้าพเจ้าเดินเหยียบ และดินเหนียวก้อนนั้นก็จะไม่สามารถที่จะปั้นแต่งรูปร่างเป็นอะไรได้เลย ข้าพเจ้าจำใจให้ดินเหนียวก้อนนั้นเป็นก้อนดินที่มีค่ามากแต่เป็นก้อนดินที่ข้าพเจ้าจับต้องไม่ได้  ข้าพเจ้าปล่อยเขาเองเวลาที่ข้าพเจ้ากำดินเหนียวที่กลายเป็นโคลนด้วยมือเปล่าข้าพเจ้าเจอแต่ความเปื้อนที่ยังติดมือโดยที่ข้าพเจ้ามองไม่เห็นหัวใจตัวเองว่าเจ็บปวดกับสถานะของ
ดินเหนียวก้อนนั้นแค่ไหน ข้าพเจ้าได้แต่มองอยู่ห่างๆ อย่างมีความหวังว่าสักวันหนึ่งดินเหนียวก้อนนั้นจะเป็นรูปร่างเป็นแจกัน แก้วน้ำ หรือสิ่งใดๆ ที่มีค่ามากกว่าดินเหนียว ข้าพเจ้าจะยินดีที่เขาทำให้ความรักที่มีให้แก่ข้าพเจ้าเป็นรูปร่างและเป็นนามธรรม  สักวันข้าพเจ้าต้องเจอกัน  ข้าพเจ้าคงต้องเลือกแล้วระหว่าง หัวใจที่ยังมีอยู่ กับ หัวใจที่ไม่มีข้าพเจ้า  เคยบ้างไหม เคยรู้ตัวบ้างหรือเปล่าข้าพเจ้าสมน้ำหน้าตัวเองให้สติกับตัวเอง บางครั้งเรื่องบางเรื่องก็ต้องให้คนอื่นบอก...ถึงจะเข้าใจ  นี้ก็อย่างที่เขาบอกว่าทุกอย่างมีข้อจำกัด คำว่ารักก็มีข้อจำกัดในความหมายของตัวมันเอง

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความสุขในความทุกข์



                     ความสุขในความทุกข์


ในวันที่ข้าพเจ้าคิดว่า ความสุขที่กำลังเจอนั้นมันคืออะไร มันเป็นจริงหรือไม่ บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าเคยคิดว่าหากเมื่อไรความทุกข์เข้ามาไม่นานก็มีความสุข น้อยคนที่จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อลมพัดมาแล้วก็พัดไป บางครั้งคนข้าพเจ้าก็อยู่ผิดที่ผิดทางแต่ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ข้าพเจ้าเจอ เหมือนตัวไหมจะกลายเป็นตัวไหมที่สมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในที่มีใบหม่อนน้ำยังเปลี่ยนสี ฟ้ายังมีมืดและสว่าง


     บางครั้งในความมืดที่มองไม่เห็นหนทาง แค่มีแสงไฟจากตะเกียงเล็กๆ ที่คอยส่องทางให้ แม้ข้าพเจ้ามองเห็นไม่ได้ตัวตาแต่ข้าพเจ้าสามารถสัมผัสได้ด้วยใจ การที่ข้าพเจ้าปิดตาเหมือนข้าพเจ้าปิดหัวใจ การที่ข้าพเจ้าไม่เปิดใจยอมรับกับสิ่งที่เจอนั้นย่อมนำความทุกข์มาให้ เพราะฉะนั้นอาจจะบอกได้ว่าความทุกข์อยู่ที่ใจของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้ายอมรับในสิ่งที่เขาเป็นแม้การกระทำของเขาจะทำร้ายข้าพเจ้ามากแค่ไหน แต่หากข้าพเจ้าไม่ซ้ำเติมความเจ็บช้ำนั้นด้วยตัวข้าพเจ้าและน้ำมือข้าพเจ้าเองก็เพียงพอ

To date, I think . I 'm happy that it is. It is true or not . Something happened that I did not know. I used to think that if you are suffering from no longer happy. Less people to understand what happened. When the wind blows , it blows . Sometimes I am in the wrong place at the wrong way, but I had to accept the things I come across. Like a silkworm silk becomes complete when they are in the water the leaves change color. The dark and light blue .
   Sometimes, in the dark , invisible way. Just a little light from the lamp . That will illuminate the way . I did not even see the eyes but with the mind I can . I closed my eyes as close to the heart . I admit that I do not know what that can lead to suffering . Thus it may be said that the pain in my heart . If I accept what he is , despite his actions hurt me much. But if I do not aggravate the pain with my hands and I had enough.

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The pursuil of happyness


The  pursuil  of  happyness

ข้าพเจ้าได้ดูหนังเรื่องหนึ่งยิ่งดูหลายครั้งก็ยิ่งซาบซึ้งความหวัง ความต้องการที่ข้าพเจ้าเองพยายามไล่ตาม  ตัวละครหลักคือพ่อที่พยายามทำงานเพื่อที่จะให้ลูกมีความสุขยิ่งปัญหาถาโถมเข้ามามากมายเท่าไร  สิ่งหนึ่งที่ตัวละครในเรื่องนี้มีคือจุดมุ่งหมายที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่นักที่เขาเรียกมันว่าความสุข เพียงแค่การกระทำที่เขาพยายามเพื่อให้ได้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ในสายตาของคนทั่วไปแต่ผลที่ได้รับมีตัวเขาเท่านั้นที่ยินดีกับมัน ยินดีที่ตัวเองได้พยายามเพื่อใครบางคน เพื่อคนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต  ดีใจกับจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่เขาทำให้คนที่รักภูมิใจ
  ข้าพเจ้ามองสิ่งที่ตัวเองเป็นเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนอื่นเป็นข้าพเจ้าอยากที่จะมีชีวิตเหมือนคนที่เขามีความสุขที่สุด แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรข้าพเจ้าหาความสุขยากเหลือเกิน  ข้าพเจ้าเคยคิดว่าการมีปัจจัยทั้งสี่อย่างจะเพียงพอแล้วกับการใช้ชีวิต  แต่เมื่อข้าพเจ้ามีมันครบก็ใช่ว่าจะทำให้จิตใจของข้าพเจ้าจะสงบ ข้าพเจ้ายังคงดิ้นรนไขว่คว้ามันโดยไม่รู้ว่าเมื่อไรตัวเองจะค้นหามันเจอสักที  บางครั้งข้าพเจ้าเหนื่อยอยากที่จะทิ้งมันไปเสียแต่มันก็ไม่เคยจะมีอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้าหยุดความต้องการความสุขได้ 
ข้าพเจ้าไม่เคยมีครอบครัวที่มีพร้อมทั้งพ่อแม่ลูก  ข้าพเจ้าไม่เคยมีผู้ใหญ่คอยแนะนำว่าต้องทำอย่างไรต่อ ข้าพเจ้าเลือกทางเดินของตัวเองตามสติปัญญาของตัวเองในแต่ละวัยแต่ละช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ามีสำนึกได้ในขณะนั้น



จุดมุ่งหมายการใช้ชีวิตเลือกเองตามใจต้องการข้าพเจ้าเคยคิดว่ามันคือความสุข ข้าพเจ้ามั่นใจในตัวเองหนักหนาว่าแม้ไม่มีใครแต่ข้าพเจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้  แต่การที่อยู่ได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้ามีความสุขเลย  ในวันที่ฝนตกข้าพเจ้าเคยมองมันและคิดว่าฝนเป็นน้ำตาทั้งหมดที่ข้าพเจ้าอยากจะมี ความสับสนที่ข้าพเจ้าคิดเรื่องเก่าทั้งที่ผิดพลาดและเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าพอใจเหมือนแผ่นหนังที่ต้องฉายกลับมาในหัว  
ข้าพเจ้าอยากที่จะย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขสิ่งไม่ดีกับภาพอดีตและในบางเวลาข้าพเจ้าอยากจะจมดิ่งกับช่วงชีวิตที่ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุด
อาจจะเพราะข้าพเจ้าทำใจไม่ได้กับการจากลาจากสถานที่ที่จากมา หรือกับบุคคลที่ข้าพเจ้าจากเขาโดยไม่ได้ลาบางครั้งข้าพเจ้าไม่สามารถอธิบายวิธีการเลือกดำเนินชีวิตของตัวเองให้บุคคลอื่นฟังได้  แม้คำขอโทษที่ข้าพเจ้าเคยทำเรื่องที่ให้เขาไม่สบายใจให้พวกเขาเดือดร้อนเพราะความรัก ความห่วงใยที่พวกเขามีให้ข้าพเจ้านั้นมันมากเกินความจำเป็น ข้าพเจ้าเรียนรู้สิ่งดีๆ  หลายอย่างที่พวกเขามีให้



การมองเห็นและมองไม่เห็น


การมองเห็นและการมองไม่เห็น
    ข้าพเจ้าเลือกแล้วว่าควรจะตั้งรับ  หลีกหนีหรือจู่โจม กับสิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งให้มันเป็นปัญหา   ข้าพเจ้าเลือกที่จะหนีมัน เพื่อแสวงหาสิ่งแวดล้อมใหม่  สังคมใหม่ ที่ข้าพเจ้าเต็มใจเลือกมันเอง  อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับใครบางคน และข้าพเจ้าไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี  ความเจ็บปวดร่องรอยบนร่างกายที่ยังคงมีอยู่ไม่เท่ากับความรู้สึกเจ็บปวดทางด้านจิตใจที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันสาหัสกว่าหลายร้อยเท่า  ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเยียวยาความรู้สึกที่ข้าพเจ้าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ามองไม่เห็นวันข้างหน้าไม่สามารถทำนายอนาคตของตัวเองได้เลยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง จะต้องทุกข์ต้องสุขเพียงใด กาลเวลาที่ผ่านแต่ละวันข้าพเจ้าไม่สามารถคาดหวังกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ หรือไม่สามารถสร้างอะไรเพียงลำพัง
    ในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่  เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นจากความเสียใจ หลังจากที่ข้าพเจ้าเฝ้าคิดเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาของตัวเองหมกมุ่นกับความรู้สึกเก่าที่กลายเป็นเรื่องเมื่อวานซึ่งไม่ใช่ความเป็นปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดซ้ำทั้งที่ข้าพเจ้าเลือกทางเดินของตัวเองแล้วว่าจะทำเช่นไร แต่ข้าพเจ้ายังไม่วายที่จะทิ้งเรื่องเก่าๆ คิดทบทวนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมตัดขาดมันได้สักที

ในเวลาที่เป็นเช้าวันใหม่เหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ให้ข้าพเจ้ารู้สึกหยุดกึกกับความเปน็น็็น็็นจริงบางอย่าง ความจริงที่ข้าพเจ้าเห็นมันผ่านตามาตลอดแต่มันไม่เคยซึมลึกในจิตใจของข้าพเจ้าเลย  ในวันที่ข้าพเจ้าได้มองเห็นบางอย่างและไม่สามารถมองเห็นบางอย่างได้  สุนัขตัวน้อยวิ่งผ่านสายตาเมื่อข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างเป็นเหตุการณ์ธรรมดาแต่ทำให้คนธรรมดาอย่างข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรๆ อีกหลายอย่าง  เจ้าสุนัขกำลังวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวจากการไล่ล่าจากเพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันอีก 3 ตัว  เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถหนีได้มันจึงหยุดยืนหลังพิงผนัง  เจ้าตัวเล็กคงหวาดกลัว  ขวัญเสีย  มันกำลังถูกผู้ที่มีกำลังมากกว่าข่มเหง  สายตาที่มันมองรอบๆ  ด้าน ต้องการหาผู้ที่จะมาช่วยเหลือมัน  และส่งสายตาต่อสู้กับเจ้าตัวใหญ่ทั้ง  3 ตัว  มันคำรามในลำคอตั้งรับเมื่อรู้ว่าไม่มีใครสามารถช่วยมันได้เลย  สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์แต่บางคนตอบแทนความซื่อสัตย์ของมันอย่างโหดร้าย  ทิ้งขว้างอย่างไร้เยื่อใยโดยให้หัวใจของมันตั้งคำถามว่า “ข้าพเจ้าทำผิดอะไร ทำไมถึงไม่รักข้าพเจ้าและทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้อย่างนี้”
    ข้าพเจ้ามองสุนัขตัวเล็กๆ ที่ตั้งรับกับการต่อสู้เมื่อตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำบ้างครั้งหากมันเลือกที่จะสู้แล้วถึงแม้จะสู้ไม่ได้เลยก็ยังดีกว่าที่ไม่คิดที่จะสู้  ข้าพเจ้ารู้สึกสะท้อนใจกับสิ่งที่ตัวเองได้เจอข้าพเจ้าเองเสียอีกที่สู้เจ้าสุนัขตัวน้อยนั้นไม่ได้เลย  ข้าพเจ้าเลือกที่จะหนีเลือกที่จะปิดตัวเองจากสังคมเก่าๆ เลือกที่ไม่ให้คนที่รักข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าทำอะไรอยู่ที่ไหน  แต่ข้าพเจ้าเลือกแล้วที่จะเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง ข้าพเจ้านอนร้องไห้ระยะเวลาที่ข้าพเจ้าต้องจากสังคมเก่าๆ ที่ข้าพเจ้าเคยอาศัยมา  ไม่เคยมีสักวันที่ข้าพเจ้าไม่นึกถึงพวกเขาคนที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขารักข้าพเจ้า  น้ำตาคือเพื่อนที่อยู่กับข้าพเจ้าในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะอธิบายเรื่องทุกข์ใจของตัวเองเป็นคำพูดได้  เมื่อพวกเขาถามเพื่ออยากช่วยข้าพเจ้าโกหกไม่อยากให้พวกเขาเห็นภาพความอ่อนแอหรือมารับรู้เรื่องราวที่ข้าพเจ้าทุกข์ใจ  ในโลกนี้มนุษย์ข้าพเจ้าหนีความจริงไม่พ้น
ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าโกหกเพื่อให้พวกเขาสบายใจ ให้พวกเขาปล่อยข้าพเจ้าจากความรัก ความห่วงใย ที่พวกเขามีให้แต่ยิ่งโกหกเหตุการณ์ทุกอย่างทำให้ข้าพเจ้าต้องแก้ไขเพียงคนเดียว ข้าพเจ้าหวังว่ามันต้องคลี่คลายขึ้น ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ  ข้าพเจ้าให้ทุกอย่างในโลกมีศูนย์กลางที่ตัวข้าพเจ้าเอง ทุกคนที่เข้ามาจะต้องรู้สึกเหมือนที่ข้าพเจ้ารู้สึกและจะต้องมีเหตุผลเหมือนที่ข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าลืมไปว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีที่มาไม่เหมือนกัน ความคิดทุกคนย่อมไม่เหมือนกัน  ข้าพเจ้าต้องอยู่ ให้ได้  วิถีทางชีวิตที่แตกต่างกัน  ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขาต้องเข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ  หรือข้าพเจ้าคิดไปเอง 
    ทำไมข้าพเจ้ามองไม่เห็นเล่าว่าพวกเขารักและห่วงใยข้าพเจ้ามากขนาดไหน  ความผูกพันด้วยความรักและความห่วงใยของมนุษย์ที่มอบให้แก่กันไม่ว่าจะด้วยสถานะใดก็แล้วแต่ย่อมมีค่าเสมอ  ข้าพเจ้าคิดเองคนเดียวไขว่คว้าอะไรๆ เองเพียงคนเดียว
    ข้าพเจ้าตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาของชีวิตไม่ได้  แม้โจทย์นั้นไม่ยากเลย  ปัญหาที่เกิดขึ้นหลายอย่างบางครั้งอาจจะมีการแก้ไขได้ง่ายๆ  แต่ข้าพเจ้าคิดไม่ถึง ตาของข้าพเจ้าในวันที่มีอะไรสักอย่างมาบังตาก็จะมืดบอด บางครั้งเรื่องยากที่ทุกคนหวาดกลัวข้าพเจ้าสามารถแก้ไขได้อย่างสบายๆ ข้าพเจ้าควรจะมองปัญหาเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการทดสอบ เป็นเครื่องมือทดลองว่าข้าพเจ้าตอบโจทย์ด้วยวิธีการใด  ตอบมันด้วยสติปัญญา  ตอบมันโดยไม่ต้องมีทฤษฎี  ตอบมันตามหลักเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น  ตอบด้วยความกล้าหาญความหวาดกลัว  ข้าพเจ้าลืมไปว่าผลลัพธ์อาจจะไม่ใช่อย่างที่ข้าพเจ้าคิด  ลบบวกลบไม่ได้เป็นบวกเสมอไป  คำตอบของมันก็คงจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง  อาจจะไม่ใกล้เคียง หรือไม่ใช่อย่างที่ข้าพเจ้าคิดไว้  ข้าพเจ้าควรจะพยายามคิดหาวิธีการในการหาคำตอบของสมการในชีวิตมากกว่านี้
    การมองเห็นในขณะที่ข้าพเจ้าปิดตาไว้มันก็คือการที่ข้าพเจ้าปิดใจไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น หากข้าพเจ้าให้โอกาสคนอื่นแสดงความคิดเห็นบางครั้งข้าพเจ้าจะได้มองเห็นในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นก็ได้ ดังเช่นผู้ร่วมงานของข้าพเจ้าคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
    “เขามีความเหนื่อยไม่เข้าในตัวเองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คำว่าบุญบาปดูจะไกลจากตัวเขาเอง จนกระทั่งช่วงอายุที่เขาโตขึ้นแต่เจอสิ่งที่สับสนเปรียบเหมือนหนูตะเภาตัวเล็กๆ ที่วิ่งอยู่บนกงล้อไม่สามารถหยุดวิ่งอย่างที่มันคิดได้ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อยและวกกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะหาวิธีการใดก็ตามยิ่งขมวดเป็นปมอย่างนั้นไม่สามารถคลายออกได้ จนมีเพื่อนร่วมงานที่อาวุโสกว่าบอกว่าถ้าเธอเป็นอย่างนี้วุ่นวายในใจมากควรสวดมนต์สิ การสวดมนต์ไม่ได้มีมนต์ขลังแต่เป็นการฝึกให้จิตใจของข้าพเจ้ามีสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็จะเกิดปัญญาแล้วข้าพเจ้าจะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้ดีที่สุดเอง เขาก็ทำแต่สักแต่ทำ เมื่อมีวันหยุดเขาพยายามตั้งใจลองไปวัดดูทำบุญทั่วไปแต่ครั้งนี้ตั้งใจที่จะไปทำมากกว่าเดิมไม่ใช่แค่เอาอาหารไปถวายพระแค่ไม่กี่อย่างแต่บนบานของนั้นนี้นับร้อยอย่าง แล้วเมื่อเสร็จสิ้นพระอวยพรว่า โชคดีนะโยม ทำให้เขารู้สึกปลดแอกตัวเอง เหมือนรู้สึกว่าข้าพเจ้ารู้แล้วว่าตัวเองนั้นเป็นอะไรเพราะตัวเอง ปิดตามองไม่เห็นสิ่งที่ดำเนินไปรอบข้างสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ที่มองไม่เห็น”
    สำหรับตัวของข้าพเจ้านั้นมองเห็นว่าจิตใจของตัวเองตอนที่กำลังท้อแท้เป็นอย่างไร ข้าพเจ้าอยากที่จะสู้ด้วยตัวเองให้ได้ อยากที่จะมีชีวิตที่ตัวเองเป็นผู้กระทำ ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวดีหรือไม่ดีข้าพเจ้าอยากที่จะเผชิญแก้ปัญหาเองให้ได้  ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำนั้นมันจะผิดหรือถูก 
ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ ตัวในสังคมที่ข้าพเจ้าเลือกอีกแห่งโลกใบนี้กว้างมากมายๆ มีที่อีกมากมายให้ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่หากข้าพเจ้าคิดที่เริ่มต้นทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ข้าพเจ้าเลือกที่จะทำด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่บงการชี้ให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นได้  ข้าพเจ้าไม่ใช่คนๆ เดียวในโลกที่นั่งแบกรับกับความทุกข์  ครุ่นคิดกับความเสียใจ เวลาที่กำลังเดินไปตามเข็มนาฬิกาทุกนาทีคงต้องมนุษย์สักคนบนโลกที่เสียใจทุกข์ใจไปพร้อมๆ กับข้าพเจ้า  ในเวลาที่ข้าพเจ้าดีใจ  ต้องมีสักคนที่ดีใจไปพร้อมๆ กับข้าพเจ้า  แม้จะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ข้าพเจ้าควรที่จะมองเห็นตัวเองให้มากขึ้น ข้าพเจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกใบนี้เลย การที่ข้าพเจ้าปิดใจตัวเองไม่เปิดทัศนคติเปลี่ยนแปลงเพื่อยอมมองโลกที่แตกต่างจากเดิมนั้นคือสิ่งที่ข้าพเจ้ามองไม่เห็น

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง


จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
     จุดเริ่มต้นของชีวิตเริ่มตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าปฏิสนธิในครรภ์มารดา  ข้าพเจ้ารับรู้ความรู้สึกจากการสัมผัสผ่านท้องที่ปกป้องข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ให้ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่ในท้อง  ผู้หญิงคนนี้เองผ่านการเจ็บปวดตลอด 40 สัปดาห์ทุกสิ่งสำหรับข้าพเจ้าเป็นเรื่องที่พิถีพิถันมากสำหรับเขาเพื่อให้ชีวิตของข้าพเจ้ารอดมีลมหายใจ เมื่อคลอดออกมาข้าพเจ้ายังมีผู้ชายอีกคนที่รักข้าพเจ้า หวังดีกับข้าพเจ้าที่สุดในชีวิต ผู้ชายที่ถือได้ว่าไม่มีใครในโลกนี้จะมีความรักให้กับข้าพเจ้าได้มากกว่าเขาอีกแล้ว
ดังตัวข้าพเจ้าบุคคลที่บ่มเพาะความเป็นตัวตนนั้นคือพ่อกับแม่ การที่ทั้งสองให้ชีวิต มันสมองและสองมือก็มากเกินพอที่ทำให้ข้าพเจ้าสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าวันเวลาที่ผ่านมานั้นหลายสิ่งผกผันไม่มีทั้งสองคนเคียงข้าง ท่านทั้งสองได้จากข้าพเจ้าไปแล้วแต่ท่านยังคงฝากฝังความคิดความรู้สึกให้เป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจ  ข้าพเจ้ามีหลายส่วนการแสดงออกหลายครั้งที่เหมือนแม่ และมีบางอารมณ์ความคิดหลายหนที่เหมือนพ่อ ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตลำพังทำมาหากินหลังจากที่ท่านทั้งสองจากโลกนี้ไป แต่ข้าพเจ้าไม่เคยโทษโชคชะตาว่าเล่นตลกที่ปล่อยให้ข้าพเจ้าว้าเหว่อยู่คนเดียวด้วยความรักในที่ที่ข้าพเจ้ารับรู้ว่าท่านทั้งสองยังคงอยู่กับข้าพเจ้าเสมอ
 แม้ข้าพเจ้าจะเริ่มอาชีพของการเป็นนักเขียนสมัครเล่นมานานแล้วก็ตามที  และเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่นำเรื่องส่วนตัวของตัวเองมานำเสนอเด็ดขาดเหตุเพราะว่าตัวเองนั้นย่อมที่จะเข้าข้างตัวเองเสมอไม่ว่าจะทั้งดีและไม่ดี เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ทุกคนล้วนย่อมมีความเห็นแก่ตัว ยอมที่จะแลกไม่ว่าความเห็นแก่ตัวนั้นจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ก็ตาม เพราะกิเลส และตัณหาของมนุษย์นั้นไม่มีวันจบต่อให้ข้าพเจ้าพยายามที่จะไม่เป็นอย่างนั้น  แต่ข้าพเจ้าก็อดที่จะเลี่ยงมันไม่ได้
ความสุขคืออะไร  ข้าพเจ้าค้นหาความหมายของมันเกือบทั้งชีวิต  โดยที่ข้าพเจ้าไม่มีแนวทางเลยว่าจะหาคำตอบนั้นได้อย่างไร  บางครั้งก็เหมือนจะได้คำตอบแต่ทุกครั้งก็ไม่ใช่ความหมายที่ข้าพเจ้าต้องการ  จำนวนผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีทั้งที่ผูกพันด้วยความรักหลายรูปแบบ และมีความเกลียดชัง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากความตั้งใจของคนบนฟ้าที่ข้าพเจ้ามองมองไม่เห็นหาใช่เรื่องบังเอิญไม่
ความรักคืออะไร  คำถามนี้ที่ข้าพเจ้าเองก็เพียรหาคำตอบเยี่ยงหลายๆ คน ต้องการ ยิ่งต้องการคำตอบที่ใช่มากแค่ไหนผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย แต่คำตอบนั้นก็ไม่ใช่คำตอบที่ข้าพเจ้าต้องการ  แล้วมันคืออะไร?
ข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า การที่ข้าพเจ้าได้เกิดมาเป็นคน  จะเป็นใคร  สถานะอะไรในสังคม  ข้าพเจ้าเลือกเกิดไม่ได้  ข้าพเจ้ามักจะได้ไมตรีจากหลายๆ คน แต่บางครั้งสิ่งที่พวกเขามอบให้กับข้าพเจ้านั้นทำให้ข้าพเจ้าระแวงเสียหนักหนาว่ามันไม่ใช่ของแท้  ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง 
ข้าพเจ้าจึงมีความสุขมากเมื่อได้อยู่ในโลกแห่งความฝันเพราะไม่มีใครมากำหนดหรือตำหนิข้าพเจ้าได้เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาต้องการ เมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดไว้  ทำให้ข้าพเจ้าขีดเส้นกั้นระหว่างความเป็นจริงและความฝันไว้คอยกำกับตัวเองเพื่อที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้  ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือสิ่งใด  หลายเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอาจจะไม่ใช่ข้าพเจ้าเป็นคนเริ่มต้นข้าพเจ้าเข้าข้างตัวเองเสมอ  ข้าพเจ้ามักจะโยนความผิดเหล่านั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจ  เสียใจ ว่าเกิดจากผู้อื่น แท้จริงแล้วหากข้าพเจ้ามีสติทบทวน ข้าพเจ้าจะต้องรู้ด้วยตัวเองในความรู้สึกว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเอง  ข้าพเจ้าไม่มีความเข้มแข็ง  ไม่อดทน  ข้าพเจ้าไม่เคยบอกใครว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น  ข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดาปกติชนที่อ่อนแอได้  ร้องไห้ได้  ท้อใจได้  หากพวกเขามองในความเป็นคนธรรมดาข้าพเจ้าอาจจะไม่สามารถสู้กับอุปสรรคได้  หรืออาจจะสามารถผ่านมันไปได้อย่างกล้าแกร่ง  ในบางทีข้าพเจ้ายอมที่จะหนีปัญหานั้นได้หรือตั้งรับเพื่อแก้ไข  บางครั้งอาจจะจู่โจมพุ่งเข้าใส่มันโดยไม่หวาดกลัว  ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าข้าพเจ้าสามารถเป็นได้  ดั่งบุคคลทั่วไปพึงจะเป็น
หลายครั้งหลายหนที่ข้าพเจ้าเจอกับอุปสรรคในชีวิต ถูกทำร้ายข้าพเจ้าเคยที่ต่อสู้ไม่หวาดกลัว  ข้าพเจ้าเคยเข้มแข็ง แต่มาวันนี้ข้าพเจ้ากลับอ่อนแอเสียได้  ข้าพเจ้าเพียรหาสิ่งที่คิดว่าจะเยียวยา เรียกความเข้มแข็งให้กลับมา  ข้าพเจ้าปล่อยให้คนอื่นมีอิทธิพลเหนือข้าพเจ้า  ไว้ใจคนอื่นให้ดูแลหัวใจของตัวเองมานาน  แต่ข้าพเจ้าไม่เคยไว้ใจหัวใจตัวเองให้ดูแลตัวเองเลย  ข้าพเจ้าคาดหวังกับคนอื่นมากกว่าคาดหวังกับตัวเอง  เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดนั้นคือเมื่อพวกเขาระอากับความเอาแต่ใจของข้าพเจ้าพวกเขาก็ปล่อยให้ข้าพเจ้าเคว้งคว้างเดินลำพังเพียงคนเดียว  ข้าพเจ้าจึงเป็นเหมือนคนที่กำลังหลงทิศ  เข็มทิศชีวิตของข้าพเจ้าปรวนแปรมากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าสามารถควบคุมมันได้ ข้าพเจ้าพยายามตั้งมันให้ตรงเท่าไรก็มักจะไม่เป็นเหมือนเดิม 
บางเวลาที่ข้าพเจ้าต้องแบกรับความหวังของหลายๆ คน มุ่งหวังให้ข้าพเจ้าเป็นคนดี  เป็นคนเก่ง  เป็นคนที่ใครๆ  เคารพนับถือ ในสายตาที่พวกเขาจะมองสุดแต่ว่าพวกเขาตั้งความหวังกับข้าพเจ้าอย่างไร  เมื่อใดที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวังได้  ข้าพเจ้าไม่อาจะประเมินค่าความรู้สึกที่พวกเขามีต่อข้าพเจ้าได้เลย  รายละเอียดในชีวิตมนุษย์มีเยอะเสียจนตัวข้าพเจ้าเองไม่สามารถจัดการมันให้เป็นระบบตามความต้องการของคนอื่นได้ บางครั้งสิ่งที่ข้าพเจ้าเป็นก็ไม่ตรงกับคนอื่น  บางครั้งสิ่งที่คนอื่นเป็นก็ไม่ตรงกับตัวข้าพเจ้า
การสูญเสียอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน  ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยและไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดระบายกับใครๆ ได้  ข้าพเจ้าโทษว่าเป็นความผิดของคนทุกคนบนโลกนี้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับข้าพเจ้า  คนทุกคนบนโลกนี้ไม่เคยมีใครหวังดีกับข้าพเจ้าสักคน  คนทุกคนบนโลกนี้กำลังหัวข้าพเจ้าหัวเราะเยาะการสูญเสียของข้าพเจ้าอย่างสมน้ำหน้า  และก็จริงคนอย่างข้าพเจ้าสมควรที่ใครๆ สมน้ำหน้าที่ไม่ดีพอจะดูแลใครสักคน ดูแลหัวใจของใครสักคน คนอ่อนแออย่างข้าพเจ้าไม่มีศักยภาพพอที่ใครจะฝากชีวิตได้
 “ข้าพเจ้าไม่เคยรู้คุณค่าของตัวเองและคนที่รักข้าพเจ้าเลย  ต่อเมื่อข้าพเจ้าทุกข์ใจ  เสียใจ สูญเสีย  แต่เมื่อข้าพเจ้าผ่านมันมาได้แล้วคุณค่าของตัวข้าพเจ้าและคนที่รักข้าพเจ้าจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะในวันที่ข้าพเจ้าไม่มีใครเพียงเสียงเรียกของเขา รอยยิ้มของเขาก็มีค่ากับข้าพเจ้าเหลือเกิน”
การสูญเสียจึงสามารถเป็นจุดเริ่มต้น เป็นสมการของชีวิตพอที่ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้  โดยเฉพาะข้าพเจ้าที่การสูญเสียชีวิตหนึ่งที่ฝากความหวังว่าข้าพเจ้าต้องดูแลเขาได้  ที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปกป้องเขามาแต่ไม่สามารถประคองเขาไปได้ตลอดรอดฝั่ง  ข้าพเจ้าเสียใจที่ไม่สามารถคุ้มครองดูแลเขาได้  เสียใจกับการที่เขาเริ่มมีชีวิตบนน้ำมือของข้าพเจ้าที่ไม่สามารถทำหน้าปกป้องเขาอย่างสุดกำลัง  ชีวิตที่เป็นความหวังที่ข้าพเจ้าเอามายึดเหนี่ยวเป็นกำลังใจข้าพเจ้ามีเงื่อนไขในการมีเขา คาดหวังในการมีเขา ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรเมื่อความรักที่ข้าพเจ้ามีให้เขานั้นไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนดั่งชีวิตของเขา  ข้าพเจ้าพึ่งมารู้สึกเมื่อไม่มีเขาแล้ว และเหมือนเดิมทุกครั้งข้าพเจ้าโทษคนอื่นเป็นสาเหตุโดยไม่เคยโทษตัวเองเลย 
ชีวิตของเขาที่จากข้าพเจ้าไปนั้นทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าเขาเข้มแข็งและมีความพยายาม  อดทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าที่ข้าพเจ้าคิด  คงเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่มีวาสนาต่อเขาเองต่างหาก เขาสอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ความรักบริสุทธิ์  เรียนรู้การเสียสละ  เรียนรู้การให้ เวลาสั้นๆ ที่มีเขาทำให้คนที่ตาบอดอย่างข้าพเจ้าได้มองเห็นแสงรำไรที่ส่องลอดกลีบเมฆลงมาสู่พื้นดิน ความทุกข์ใจ  เสียใจ  ร้องไห้  หลากหลายอารมณ์แบบที่ข้าพเจ้าเจอนั้น  ข้าพเจ้าลืมมันไปนานแล้วว่าเป็นพื้นฐานของความเป็นคนนั้นเอง
สิ่งที่ข้าพเจ้าเจอนั้นยังไม่ใช่ที่สุดของความทุกข์ใจ  สิ่งที่ข้าพเจ้ายินดีก็ไม่ใช่ที่สุดของความสุข ข้าพเจ้าไม่ได้มองมันอย่างถ่องแท้ ข้าพเจ้าไม่เคยใช่สายตาอย่างกว้างที่จะมองมัน ข้าพเจ้าไม่เคยมีเหตุผลในการดำเนินชีวิต หากข้าพเจ้ามองว่าความทุกข์นั้นเป็นของข้าพเจ้าโดยชอบธรรม หากข้าพเจ้าลองให้เวลาตัวเองมากขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนกับวันนี้ที่หนังสือกลายเป็นเพื่อนแท้ของข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะเลิกคิดถึงสถานที่ที่ข้าพเจ้าจากมา  ข้าพเจ้าได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอามาฝัน จนข้าพเจ้าเองนั้นเป็นทุกข์เพราะความคิดถึงความเสียใจ ความเศร้าที่ข้าพเจ้ายังคงผูกพันกับสถานที่เก่านั้น มันยังท้วมท้นอยู่ในหัวใจ ข้าพเจ้าโหยหาพวกเขาบุคคลที่เป็นความทรงจำที่ดีในสถานที่เก่านั้น
ข้าพเจ้าพยายามหาวิธีเยียวยาหัวใจตัวเอง ข้าพเจ้าไม่เคยมองเลยว่าอะไรที่เป็นทุกข์ จนกระทั่งข้าพเจ้าหยิบหนังสือธรรมะหลายๆ เล่มมาอ่าน หัวใจของข้าพเจ้าต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ พวกเขาไม่เคยรับรู้หรอกว่าข้าพเจ้าทุกข์ใจหรือมีความสุข พวกเขาไม่ต้องมานั่งครุ่นคิดหาวิธีการเยียวยาหัวใจ ความทุกข์มาเยือนดังที่ พระอาจารย์ว.วชิรเมธี ได้กล่าวไว้ในหนังสือความทุกข์มาโปรดความสุขโปรยปรายว่า
“เมื่อไรข้าพเจ้าทุกข์น้อยพระอานนท์จะมาโปรด ทุกข์มากหน่อยพระสารีบุตรก็จะมาแต่เมื่อไรมีทุกข์ใหญ่หลวงหนักหนาเมื่อนั้นพระพุทธเจ้าก็จะมาถึง”
แสดงว่าหากข้าพเจ้าทุกข์หนักเมื่อไรคนที่อยู่สูงที่สุดและดีที่สุดก็จะมาถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจข้าพเจ้าได้พยายามหาวิธีดับทุกข์ทุกกรรมวิธีที่เกิดขึ้นทำให้ข้าพเจ้าเกิดปัญญาสร้างสรรค์วิธีการ บางสิ่งข้าพเจ้ามองข้ามแต่มันใช่ บ้างสิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญต่อมันแต่มันไม่ใช่ ข้าพเจ้าทดลองจัดการมัน โดยเฉพาะจัดการกับความคิดถึงที่ข้าพเจ้ามีให้บุคคล ข้าพเจ้ามาคิดได้ก็ต่อเมื่อพวกเขานั้นได้ตัดขาดกับข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าหมกมุ่นกับความคิดถึงพวกเขาแต่พวกเขาลืมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าห่วงใยความรู้สึกรักผูกพันกับพวกเขา แต่พวกเขาสลัดทิ้งความรัก ความผูกพันที่เคยมีให้ข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าให้คุณค่าความรู้สึกแก่พวกเขาแต่ไม่เคยเห็นคุณค่าความรู้สึกของข้าพเจ้าซ้ำยังเหยียบย่ำมันเสียยิ่งกว่าเถ้าธุลีดินให้ลมพัดเข้าตาของข้าพเจ้ามันทำให้ข้าพเจ้าเจ็บเสียน้ำตาร้องไห้ หากข้าพเจ้าไม่ให้คุณค่าความรู้สึกของพวกเขาไปข้าพเจ้าคงไม่เจ็บแสบขนาดนี้
ข้าพเจ้าไม่เคยมองความรู้สึกคุณค่าของตัวเอง ข้าพเจ้ายินดีที่จะรับความทุกข์ใจ เสียใจเองแล้วข้าพเจ้าควรจะไปโทษว่าเป็นความผิดพวกเขาทำไม ข้าพเจ้ารักเขาเองแล้วยังจะเจ็บใจเมื่อเขาไม่ได้รักตอบข้าพเจ้าอย่างจริงใจ ข้าพเจ้าไปเชื่อคำพูดของเขาเองเมื่อเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกข้าพเจ้าก็มาเสียใจเอง
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวของข้าพเจ้าเองไม่ใช่ใครที่เป็นคนทำ หากข้าพเจ้าจัดการกับจิตใจของตัวเองได้เมื่อไรแล้วข้าพเจ้าหวังว่าความทุกข์ในจะหมดไป หากข้าพเจ้ามีความสุขก็จะไม่หลงระเริงกับความสุขนั้นข้าพเจ้าควรจะเตรียมหัวใจเอาไว้แล้วบอกกับตัวเองว่าอีกไม่นานความทุกข์ก็จะมาเยือน เพราะความทุกข์นั้นเป็นของข้าพเจ้าอย่างชอบธรรมไม่ใช่ของคนอื่นเป็นของข้าพเจ้าและของข้าพเจ้าเสมอ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ที่สุดแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะจุดเริ่มต้นที่ข้าพเจ้าอาจจะไม่เคยเห็น บางครั้งอาจจะเจอเรื่องดีหรือบางครั้งข้าพเจ้าอาจจะเจอปัญหามากกว่าเดิม ไม่มีอะไรเป็นที่สิ้นสุดไม่มีอะไรตายตัว ข้าพเจ้าแค่เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินชีวิตแต่ข้าพเจ้าไม่ได้เปลี่ยนการเป็นตัวตนของตัวเอง ข้าพเจ้าอยากมองย้อนกลับไปในสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยเป็นกับคนที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย บอกให้พวกเขารู้การเปลี่ยนแปลงของข้าพเจ้าอย่างมีเหตุผล