การมองเห็นและการมองไม่เห็น
ข้าพเจ้าเลือกแล้วว่าควรจะตั้งรับ
หลีกหนีหรือจู่โจม กับสิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งให้มันเป็นปัญหา ข้าพเจ้าเลือกที่จะหนีมัน เพื่อแสวงหาสิ่งแวดล้อมใหม่ สังคมใหม่ ที่ข้าพเจ้าเต็มใจเลือกมันเอง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับใครบางคน
และข้าพเจ้าไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี
ความเจ็บปวดร่องรอยบนร่างกายที่ยังคงมีอยู่ไม่เท่ากับความรู้สึกเจ็บปวดทางด้านจิตใจที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันสาหัสกว่าหลายร้อยเท่า
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเยียวยาความรู้สึกที่ข้าพเจ้าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ามองไม่เห็นวันข้างหน้าไม่สามารถทำนายอนาคตของตัวเองได้เลยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
จะต้องทุกข์ต้องสุขเพียงใด
กาลเวลาที่ผ่านแต่ละวันข้าพเจ้าไม่สามารถคาดหวังกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ หรือไม่สามารถสร้างอะไรเพียงลำพัง
ในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นจากความเสียใจ
หลังจากที่ข้าพเจ้าเฝ้าคิดเรื่องต่างๆ
ที่ผ่านมาของตัวเองหมกมุ่นกับความรู้สึกเก่าที่กลายเป็นเรื่องเมื่อวานซึ่งไม่ใช่ความเป็นปัจจุบัน
ข้าพเจ้าคิดซ้ำทั้งที่ข้าพเจ้าเลือกทางเดินของตัวเองแล้วว่าจะทำเช่นไร
แต่ข้าพเจ้ายังไม่วายที่จะทิ้งเรื่องเก่าๆ คิดทบทวนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมตัดขาดมันได้สักที
ในเวลาที่เป็นเช้าวันใหม่เหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ให้ข้าพเจ้ารู้สึกหยุดกึกกับความเป
ในวันที่ข้าพเจ้าได้มองเห็นบางอย่างและไม่สามารถมองเห็นบางอย่างได้ ็นจริงบางอย่าง ความจริงที่ข้าพเจ้าเห็นมันผ่านตามาตลอดแต่มันไม่เคยซึมลึกในจิตใจของข้าพเจ้าเลย สุนัขตัวน้อยวิ่งผ่านสายตาเมื่อข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างเป็นเหตุการณ์ธรรมดาแต่ทำให้คนธรรมดาอย่างข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรๆ
อีกหลายอย่าง
เจ้าสุนัขกำลังวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวจากการไล่ล่าจากเพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันอีก
3 ตัว
เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถหนีได้มันจึงหยุดยืนหลังพิงผนัง เจ้าตัวเล็กคงหวาดกลัว ขวัญเสีย
มันกำลังถูกผู้ที่มีกำลังมากกว่าข่มเหง
สายตาที่มันมองรอบๆ ด้าน ต้องการหาผู้ที่จะมาช่วยเหลือมัน และส่งสายตาต่อสู้กับเจ้าตัวใหญ่ทั้ง 3 ตัว
มันคำรามในลำคอตั้งรับเมื่อรู้ว่าไม่มีใครสามารถช่วยมันได้เลย สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์แต่บางคนตอบแทนความซื่อสัตย์ของมันอย่างโหดร้าย ทิ้งขว้างอย่างไร้เยื่อใยโดยให้หัวใจของมันตั้งคำถามว่า
“ข้าพเจ้าทำผิดอะไร ทำไมถึงไม่รักข้าพเจ้าและทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้อย่างนี้”
ข้าพเจ้ามองสุนัขตัวเล็กๆ
ที่ตั้งรับกับการต่อสู้เมื่อตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำบ้างครั้งหากมันเลือกที่จะสู้แล้วถึงแม้จะสู้ไม่ได้เลยก็ยังดีกว่าที่ไม่คิดที่จะสู้ ข้าพเจ้ารู้สึกสะท้อนใจกับสิ่งที่ตัวเองได้เจอข้าพเจ้าเองเสียอีกที่สู้เจ้าสุนัขตัวน้อยนั้นไม่ได้เลย
ข้าพเจ้าเลือกที่จะหนีเลือกที่จะปิดตัวเองจากสังคมเก่าๆ
เลือกที่ไม่ให้คนที่รักข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าทำอะไรอยู่ที่ไหน
แต่ข้าพเจ้าเลือกแล้วที่จะเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง ข้าพเจ้านอนร้องไห้ระยะเวลาที่ข้าพเจ้าต้องจากสังคมเก่าๆ
ที่ข้าพเจ้าเคยอาศัยมา
ไม่เคยมีสักวันที่ข้าพเจ้าไม่นึกถึงพวกเขาคนที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขารักข้าพเจ้า น้ำตาคือเพื่อนที่อยู่กับข้าพเจ้าในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะอธิบายเรื่องทุกข์ใจของตัวเองเป็นคำพูดได้ เมื่อพวกเขาถามเพื่ออยากช่วยข้าพเจ้าโกหกไม่อยากให้พวกเขาเห็นภาพความอ่อนแอหรือมารับรู้เรื่องราวที่ข้าพเจ้าทุกข์ใจ ในโลกนี้มนุษย์ข้าพเจ้าหนีความจริงไม่พ้น
ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าโกหกเพื่อให้พวกเขาสบายใจ
ให้พวกเขาปล่อยข้าพเจ้าจากความรัก ความห่วงใย ที่พวกเขามีให้แต่ยิ่งโกหกเหตุการณ์ทุกอย่างทำให้ข้าพเจ้าต้องแก้ไขเพียงคนเดียว
ข้าพเจ้าหวังว่ามันต้องคลี่คลายขึ้น
ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ
ข้าพเจ้าให้ทุกอย่างในโลกมีศูนย์กลางที่ตัวข้าพเจ้าเอง
ทุกคนที่เข้ามาจะต้องรู้สึกเหมือนที่ข้าพเจ้ารู้สึกและจะต้องมีเหตุผลเหมือนที่ข้าพเจ้ามี
ข้าพเจ้าลืมไปว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีที่มาไม่เหมือนกัน
ความคิดทุกคนย่อมไม่เหมือนกัน
ข้าพเจ้าต้องอยู่ ให้ได้
วิถีทางชีวิตที่แตกต่างกัน
ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขาต้องเข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ หรือข้าพเจ้าคิดไปเอง
ทำไมข้าพเจ้ามองไม่เห็นเล่าว่าพวกเขารักและห่วงใยข้าพเจ้ามากขนาดไหน
ความผูกพันด้วยความรักและความห่วงใยของมนุษย์ที่มอบให้แก่กันไม่ว่าจะด้วยสถานะใดก็แล้วแต่ย่อมมีค่าเสมอ ข้าพเจ้าคิดเองคนเดียวไขว่คว้าอะไรๆ
เองเพียงคนเดียว
ข้าพเจ้าตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาของชีวิตไม่ได้ แม้โจทย์นั้นไม่ยากเลย
ปัญหาที่เกิดขึ้นหลายอย่างบางครั้งอาจจะมีการแก้ไขได้ง่ายๆ แต่ข้าพเจ้าคิดไม่ถึง ตาของข้าพเจ้าในวันที่มีอะไรสักอย่างมาบังตาก็จะมืดบอด
บางครั้งเรื่องยากที่ทุกคนหวาดกลัวข้าพเจ้าสามารถแก้ไขได้อย่างสบายๆ
ข้าพเจ้าควรจะมองปัญหาเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการทดสอบ
เป็นเครื่องมือทดลองว่าข้าพเจ้าตอบโจทย์ด้วยวิธีการใด ตอบมันด้วยสติปัญญา ตอบมันโดยไม่ต้องมีทฤษฎี ตอบมันตามหลักเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น ตอบด้วยความกล้าหาญความหวาดกลัว
ข้าพเจ้าลืมไปว่าผลลัพธ์อาจจะไม่ใช่อย่างที่ข้าพเจ้าคิด ลบบวกลบไม่ได้เป็นบวกเสมอไป คำตอบของมันก็คงจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง อาจจะไม่ใกล้เคียง หรือไม่ใช่อย่างที่ข้าพเจ้าคิดไว้
ข้าพเจ้าควรจะพยายามคิดหาวิธีการในการหาคำตอบของสมการในชีวิตมากกว่านี้
การมองเห็นในขณะที่ข้าพเจ้าปิดตาไว้มันก็คือการที่ข้าพเจ้าปิดใจไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
หากข้าพเจ้าให้โอกาสคนอื่นแสดงความคิดเห็นบางครั้งข้าพเจ้าจะได้มองเห็นในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นก็ได้
ดังเช่นผู้ร่วมงานของข้าพเจ้าคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
“เขามีความเหนื่อยไม่เข้าในตัวเองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คำว่าบุญบาปดูจะไกลจากตัวเขาเอง
จนกระทั่งช่วงอายุที่เขาโตขึ้นแต่เจอสิ่งที่สับสนเปรียบเหมือนหนูตะเภาตัวเล็กๆ
ที่วิ่งอยู่บนกงล้อไม่สามารถหยุดวิ่งอย่างที่มันคิดได้ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อยและวกกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก
แม้จะหาวิธีการใดก็ตามยิ่งขมวดเป็นปมอย่างนั้นไม่สามารถคลายออกได้
จนมีเพื่อนร่วมงานที่อาวุโสกว่าบอกว่าถ้าเธอเป็นอย่างนี้วุ่นวายในใจมากควรสวดมนต์สิ
การสวดมนต์ไม่ได้มีมนต์ขลังแต่เป็นการฝึกให้จิตใจของข้าพเจ้ามีสมาธิ
เมื่อมีสมาธิก็จะเกิดปัญญาแล้วข้าพเจ้าจะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้ดีที่สุดเอง
เขาก็ทำแต่สักแต่ทำ
เมื่อมีวันหยุดเขาพยายามตั้งใจลองไปวัดดูทำบุญทั่วไปแต่ครั้งนี้ตั้งใจที่จะไปทำมากกว่าเดิมไม่ใช่แค่เอาอาหารไปถวายพระแค่ไม่กี่อย่างแต่บนบานของนั้นนี้นับร้อยอย่าง
แล้วเมื่อเสร็จสิ้นพระอวยพรว่า โชคดีนะโยม
ทำให้เขารู้สึกปลดแอกตัวเอง เหมือนรู้สึกว่าข้าพเจ้ารู้แล้วว่าตัวเองนั้นเป็นอะไรเพราะตัวเอง
ปิดตามองไม่เห็นสิ่งที่ดำเนินไปรอบข้างสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ
ที่มองไม่เห็น”
สำหรับตัวของข้าพเจ้านั้นมองเห็นว่าจิตใจของตัวเองตอนที่กำลังท้อแท้เป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าอยากที่จะสู้ด้วยตัวเองให้ได้ อยากที่จะมีชีวิตที่ตัวเองเป็นผู้กระทำ
ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวดีหรือไม่ดีข้าพเจ้าอยากที่จะเผชิญแก้ปัญหาเองให้ได้
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำนั้นมันจะผิดหรือถูก
ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ
ตัวในสังคมที่ข้าพเจ้าเลือกอีกแห่งโลกใบนี้กว้างมากมายๆ มีที่อีกมากมายให้ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่หากข้าพเจ้าคิดที่เริ่มต้นทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ
ข้าพเจ้าเลือกที่จะทำด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่บงการชี้ให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นได้ ข้าพเจ้าไม่ใช่คนๆ
เดียวในโลกที่นั่งแบกรับกับความทุกข์
ครุ่นคิดกับความเสียใจ
เวลาที่กำลังเดินไปตามเข็มนาฬิกาทุกนาทีคงต้องมนุษย์สักคนบนโลกที่เสียใจทุกข์ใจไปพร้อมๆ
กับข้าพเจ้า ในเวลาที่ข้าพเจ้าดีใจ ต้องมีสักคนที่ดีใจไปพร้อมๆ กับข้าพเจ้า แม้จะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ข้าพเจ้าควรที่จะมองเห็นตัวเองให้มากขึ้น
ข้าพเจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกใบนี้เลย
การที่ข้าพเจ้าปิดใจตัวเองไม่เปิดทัศนคติเปลี่ยนแปลงเพื่อยอมมองโลกที่แตกต่างจากเดิมนั้นคือสิ่งที่ข้าพเจ้ามองไม่เห็น