หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง


จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
     จุดเริ่มต้นของชีวิตเริ่มตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าปฏิสนธิในครรภ์มารดา  ข้าพเจ้ารับรู้ความรู้สึกจากการสัมผัสผ่านท้องที่ปกป้องข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ให้ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่ในท้อง  ผู้หญิงคนนี้เองผ่านการเจ็บปวดตลอด 40 สัปดาห์ทุกสิ่งสำหรับข้าพเจ้าเป็นเรื่องที่พิถีพิถันมากสำหรับเขาเพื่อให้ชีวิตของข้าพเจ้ารอดมีลมหายใจ เมื่อคลอดออกมาข้าพเจ้ายังมีผู้ชายอีกคนที่รักข้าพเจ้า หวังดีกับข้าพเจ้าที่สุดในชีวิต ผู้ชายที่ถือได้ว่าไม่มีใครในโลกนี้จะมีความรักให้กับข้าพเจ้าได้มากกว่าเขาอีกแล้ว
ดังตัวข้าพเจ้าบุคคลที่บ่มเพาะความเป็นตัวตนนั้นคือพ่อกับแม่ การที่ทั้งสองให้ชีวิต มันสมองและสองมือก็มากเกินพอที่ทำให้ข้าพเจ้าสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าวันเวลาที่ผ่านมานั้นหลายสิ่งผกผันไม่มีทั้งสองคนเคียงข้าง ท่านทั้งสองได้จากข้าพเจ้าไปแล้วแต่ท่านยังคงฝากฝังความคิดความรู้สึกให้เป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจ  ข้าพเจ้ามีหลายส่วนการแสดงออกหลายครั้งที่เหมือนแม่ และมีบางอารมณ์ความคิดหลายหนที่เหมือนพ่อ ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตลำพังทำมาหากินหลังจากที่ท่านทั้งสองจากโลกนี้ไป แต่ข้าพเจ้าไม่เคยโทษโชคชะตาว่าเล่นตลกที่ปล่อยให้ข้าพเจ้าว้าเหว่อยู่คนเดียวด้วยความรักในที่ที่ข้าพเจ้ารับรู้ว่าท่านทั้งสองยังคงอยู่กับข้าพเจ้าเสมอ
 แม้ข้าพเจ้าจะเริ่มอาชีพของการเป็นนักเขียนสมัครเล่นมานานแล้วก็ตามที  และเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่นำเรื่องส่วนตัวของตัวเองมานำเสนอเด็ดขาดเหตุเพราะว่าตัวเองนั้นย่อมที่จะเข้าข้างตัวเองเสมอไม่ว่าจะทั้งดีและไม่ดี เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ทุกคนล้วนย่อมมีความเห็นแก่ตัว ยอมที่จะแลกไม่ว่าความเห็นแก่ตัวนั้นจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ก็ตาม เพราะกิเลส และตัณหาของมนุษย์นั้นไม่มีวันจบต่อให้ข้าพเจ้าพยายามที่จะไม่เป็นอย่างนั้น  แต่ข้าพเจ้าก็อดที่จะเลี่ยงมันไม่ได้
ความสุขคืออะไร  ข้าพเจ้าค้นหาความหมายของมันเกือบทั้งชีวิต  โดยที่ข้าพเจ้าไม่มีแนวทางเลยว่าจะหาคำตอบนั้นได้อย่างไร  บางครั้งก็เหมือนจะได้คำตอบแต่ทุกครั้งก็ไม่ใช่ความหมายที่ข้าพเจ้าต้องการ  จำนวนผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีทั้งที่ผูกพันด้วยความรักหลายรูปแบบ และมีความเกลียดชัง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากความตั้งใจของคนบนฟ้าที่ข้าพเจ้ามองมองไม่เห็นหาใช่เรื่องบังเอิญไม่
ความรักคืออะไร  คำถามนี้ที่ข้าพเจ้าเองก็เพียรหาคำตอบเยี่ยงหลายๆ คน ต้องการ ยิ่งต้องการคำตอบที่ใช่มากแค่ไหนผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย แต่คำตอบนั้นก็ไม่ใช่คำตอบที่ข้าพเจ้าต้องการ  แล้วมันคืออะไร?
ข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า การที่ข้าพเจ้าได้เกิดมาเป็นคน  จะเป็นใคร  สถานะอะไรในสังคม  ข้าพเจ้าเลือกเกิดไม่ได้  ข้าพเจ้ามักจะได้ไมตรีจากหลายๆ คน แต่บางครั้งสิ่งที่พวกเขามอบให้กับข้าพเจ้านั้นทำให้ข้าพเจ้าระแวงเสียหนักหนาว่ามันไม่ใช่ของแท้  ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง 
ข้าพเจ้าจึงมีความสุขมากเมื่อได้อยู่ในโลกแห่งความฝันเพราะไม่มีใครมากำหนดหรือตำหนิข้าพเจ้าได้เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาต้องการ เมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดไว้  ทำให้ข้าพเจ้าขีดเส้นกั้นระหว่างความเป็นจริงและความฝันไว้คอยกำกับตัวเองเพื่อที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้  ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือสิ่งใด  หลายเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอาจจะไม่ใช่ข้าพเจ้าเป็นคนเริ่มต้นข้าพเจ้าเข้าข้างตัวเองเสมอ  ข้าพเจ้ามักจะโยนความผิดเหล่านั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจ  เสียใจ ว่าเกิดจากผู้อื่น แท้จริงแล้วหากข้าพเจ้ามีสติทบทวน ข้าพเจ้าจะต้องรู้ด้วยตัวเองในความรู้สึกว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเอง  ข้าพเจ้าไม่มีความเข้มแข็ง  ไม่อดทน  ข้าพเจ้าไม่เคยบอกใครว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น  ข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดาปกติชนที่อ่อนแอได้  ร้องไห้ได้  ท้อใจได้  หากพวกเขามองในความเป็นคนธรรมดาข้าพเจ้าอาจจะไม่สามารถสู้กับอุปสรรคได้  หรืออาจจะสามารถผ่านมันไปได้อย่างกล้าแกร่ง  ในบางทีข้าพเจ้ายอมที่จะหนีปัญหานั้นได้หรือตั้งรับเพื่อแก้ไข  บางครั้งอาจจะจู่โจมพุ่งเข้าใส่มันโดยไม่หวาดกลัว  ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าข้าพเจ้าสามารถเป็นได้  ดั่งบุคคลทั่วไปพึงจะเป็น
หลายครั้งหลายหนที่ข้าพเจ้าเจอกับอุปสรรคในชีวิต ถูกทำร้ายข้าพเจ้าเคยที่ต่อสู้ไม่หวาดกลัว  ข้าพเจ้าเคยเข้มแข็ง แต่มาวันนี้ข้าพเจ้ากลับอ่อนแอเสียได้  ข้าพเจ้าเพียรหาสิ่งที่คิดว่าจะเยียวยา เรียกความเข้มแข็งให้กลับมา  ข้าพเจ้าปล่อยให้คนอื่นมีอิทธิพลเหนือข้าพเจ้า  ไว้ใจคนอื่นให้ดูแลหัวใจของตัวเองมานาน  แต่ข้าพเจ้าไม่เคยไว้ใจหัวใจตัวเองให้ดูแลตัวเองเลย  ข้าพเจ้าคาดหวังกับคนอื่นมากกว่าคาดหวังกับตัวเอง  เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดนั้นคือเมื่อพวกเขาระอากับความเอาแต่ใจของข้าพเจ้าพวกเขาก็ปล่อยให้ข้าพเจ้าเคว้งคว้างเดินลำพังเพียงคนเดียว  ข้าพเจ้าจึงเป็นเหมือนคนที่กำลังหลงทิศ  เข็มทิศชีวิตของข้าพเจ้าปรวนแปรมากเกินกว่าที่ข้าพเจ้าสามารถควบคุมมันได้ ข้าพเจ้าพยายามตั้งมันให้ตรงเท่าไรก็มักจะไม่เป็นเหมือนเดิม 
บางเวลาที่ข้าพเจ้าต้องแบกรับความหวังของหลายๆ คน มุ่งหวังให้ข้าพเจ้าเป็นคนดี  เป็นคนเก่ง  เป็นคนที่ใครๆ  เคารพนับถือ ในสายตาที่พวกเขาจะมองสุดแต่ว่าพวกเขาตั้งความหวังกับข้าพเจ้าอย่างไร  เมื่อใดที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวังได้  ข้าพเจ้าไม่อาจะประเมินค่าความรู้สึกที่พวกเขามีต่อข้าพเจ้าได้เลย  รายละเอียดในชีวิตมนุษย์มีเยอะเสียจนตัวข้าพเจ้าเองไม่สามารถจัดการมันให้เป็นระบบตามความต้องการของคนอื่นได้ บางครั้งสิ่งที่ข้าพเจ้าเป็นก็ไม่ตรงกับคนอื่น  บางครั้งสิ่งที่คนอื่นเป็นก็ไม่ตรงกับตัวข้าพเจ้า
การสูญเสียอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน  ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยและไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดระบายกับใครๆ ได้  ข้าพเจ้าโทษว่าเป็นความผิดของคนทุกคนบนโลกนี้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับข้าพเจ้า  คนทุกคนบนโลกนี้ไม่เคยมีใครหวังดีกับข้าพเจ้าสักคน  คนทุกคนบนโลกนี้กำลังหัวข้าพเจ้าหัวเราะเยาะการสูญเสียของข้าพเจ้าอย่างสมน้ำหน้า  และก็จริงคนอย่างข้าพเจ้าสมควรที่ใครๆ สมน้ำหน้าที่ไม่ดีพอจะดูแลใครสักคน ดูแลหัวใจของใครสักคน คนอ่อนแออย่างข้าพเจ้าไม่มีศักยภาพพอที่ใครจะฝากชีวิตได้
 “ข้าพเจ้าไม่เคยรู้คุณค่าของตัวเองและคนที่รักข้าพเจ้าเลย  ต่อเมื่อข้าพเจ้าทุกข์ใจ  เสียใจ สูญเสีย  แต่เมื่อข้าพเจ้าผ่านมันมาได้แล้วคุณค่าของตัวข้าพเจ้าและคนที่รักข้าพเจ้าจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะในวันที่ข้าพเจ้าไม่มีใครเพียงเสียงเรียกของเขา รอยยิ้มของเขาก็มีค่ากับข้าพเจ้าเหลือเกิน”
การสูญเสียจึงสามารถเป็นจุดเริ่มต้น เป็นสมการของชีวิตพอที่ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้  โดยเฉพาะข้าพเจ้าที่การสูญเสียชีวิตหนึ่งที่ฝากความหวังว่าข้าพเจ้าต้องดูแลเขาได้  ที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ปกป้องเขามาแต่ไม่สามารถประคองเขาไปได้ตลอดรอดฝั่ง  ข้าพเจ้าเสียใจที่ไม่สามารถคุ้มครองดูแลเขาได้  เสียใจกับการที่เขาเริ่มมีชีวิตบนน้ำมือของข้าพเจ้าที่ไม่สามารถทำหน้าปกป้องเขาอย่างสุดกำลัง  ชีวิตที่เป็นความหวังที่ข้าพเจ้าเอามายึดเหนี่ยวเป็นกำลังใจข้าพเจ้ามีเงื่อนไขในการมีเขา คาดหวังในการมีเขา ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรเมื่อความรักที่ข้าพเจ้ามีให้เขานั้นไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนดั่งชีวิตของเขา  ข้าพเจ้าพึ่งมารู้สึกเมื่อไม่มีเขาแล้ว และเหมือนเดิมทุกครั้งข้าพเจ้าโทษคนอื่นเป็นสาเหตุโดยไม่เคยโทษตัวเองเลย 
ชีวิตของเขาที่จากข้าพเจ้าไปนั้นทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าเขาเข้มแข็งและมีความพยายาม  อดทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าที่ข้าพเจ้าคิด  คงเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่มีวาสนาต่อเขาเองต่างหาก เขาสอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ความรักบริสุทธิ์  เรียนรู้การเสียสละ  เรียนรู้การให้ เวลาสั้นๆ ที่มีเขาทำให้คนที่ตาบอดอย่างข้าพเจ้าได้มองเห็นแสงรำไรที่ส่องลอดกลีบเมฆลงมาสู่พื้นดิน ความทุกข์ใจ  เสียใจ  ร้องไห้  หลากหลายอารมณ์แบบที่ข้าพเจ้าเจอนั้น  ข้าพเจ้าลืมมันไปนานแล้วว่าเป็นพื้นฐานของความเป็นคนนั้นเอง
สิ่งที่ข้าพเจ้าเจอนั้นยังไม่ใช่ที่สุดของความทุกข์ใจ  สิ่งที่ข้าพเจ้ายินดีก็ไม่ใช่ที่สุดของความสุข ข้าพเจ้าไม่ได้มองมันอย่างถ่องแท้ ข้าพเจ้าไม่เคยใช่สายตาอย่างกว้างที่จะมองมัน ข้าพเจ้าไม่เคยมีเหตุผลในการดำเนินชีวิต หากข้าพเจ้ามองว่าความทุกข์นั้นเป็นของข้าพเจ้าโดยชอบธรรม หากข้าพเจ้าลองให้เวลาตัวเองมากขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนกับวันนี้ที่หนังสือกลายเป็นเพื่อนแท้ของข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะเลิกคิดถึงสถานที่ที่ข้าพเจ้าจากมา  ข้าพเจ้าได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอามาฝัน จนข้าพเจ้าเองนั้นเป็นทุกข์เพราะความคิดถึงความเสียใจ ความเศร้าที่ข้าพเจ้ายังคงผูกพันกับสถานที่เก่านั้น มันยังท้วมท้นอยู่ในหัวใจ ข้าพเจ้าโหยหาพวกเขาบุคคลที่เป็นความทรงจำที่ดีในสถานที่เก่านั้น
ข้าพเจ้าพยายามหาวิธีเยียวยาหัวใจตัวเอง ข้าพเจ้าไม่เคยมองเลยว่าอะไรที่เป็นทุกข์ จนกระทั่งข้าพเจ้าหยิบหนังสือธรรมะหลายๆ เล่มมาอ่าน หัวใจของข้าพเจ้าต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ พวกเขาไม่เคยรับรู้หรอกว่าข้าพเจ้าทุกข์ใจหรือมีความสุข พวกเขาไม่ต้องมานั่งครุ่นคิดหาวิธีการเยียวยาหัวใจ ความทุกข์มาเยือนดังที่ พระอาจารย์ว.วชิรเมธี ได้กล่าวไว้ในหนังสือความทุกข์มาโปรดความสุขโปรยปรายว่า
“เมื่อไรข้าพเจ้าทุกข์น้อยพระอานนท์จะมาโปรด ทุกข์มากหน่อยพระสารีบุตรก็จะมาแต่เมื่อไรมีทุกข์ใหญ่หลวงหนักหนาเมื่อนั้นพระพุทธเจ้าก็จะมาถึง”
แสดงว่าหากข้าพเจ้าทุกข์หนักเมื่อไรคนที่อยู่สูงที่สุดและดีที่สุดก็จะมาถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจข้าพเจ้าได้พยายามหาวิธีดับทุกข์ทุกกรรมวิธีที่เกิดขึ้นทำให้ข้าพเจ้าเกิดปัญญาสร้างสรรค์วิธีการ บางสิ่งข้าพเจ้ามองข้ามแต่มันใช่ บ้างสิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญต่อมันแต่มันไม่ใช่ ข้าพเจ้าทดลองจัดการมัน โดยเฉพาะจัดการกับความคิดถึงที่ข้าพเจ้ามีให้บุคคล ข้าพเจ้ามาคิดได้ก็ต่อเมื่อพวกเขานั้นได้ตัดขาดกับข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าหมกมุ่นกับความคิดถึงพวกเขาแต่พวกเขาลืมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าห่วงใยความรู้สึกรักผูกพันกับพวกเขา แต่พวกเขาสลัดทิ้งความรัก ความผูกพันที่เคยมีให้ข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าให้คุณค่าความรู้สึกแก่พวกเขาแต่ไม่เคยเห็นคุณค่าความรู้สึกของข้าพเจ้าซ้ำยังเหยียบย่ำมันเสียยิ่งกว่าเถ้าธุลีดินให้ลมพัดเข้าตาของข้าพเจ้ามันทำให้ข้าพเจ้าเจ็บเสียน้ำตาร้องไห้ หากข้าพเจ้าไม่ให้คุณค่าความรู้สึกของพวกเขาไปข้าพเจ้าคงไม่เจ็บแสบขนาดนี้
ข้าพเจ้าไม่เคยมองความรู้สึกคุณค่าของตัวเอง ข้าพเจ้ายินดีที่จะรับความทุกข์ใจ เสียใจเองแล้วข้าพเจ้าควรจะไปโทษว่าเป็นความผิดพวกเขาทำไม ข้าพเจ้ารักเขาเองแล้วยังจะเจ็บใจเมื่อเขาไม่ได้รักตอบข้าพเจ้าอย่างจริงใจ ข้าพเจ้าไปเชื่อคำพูดของเขาเองเมื่อเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกข้าพเจ้าก็มาเสียใจเอง
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวของข้าพเจ้าเองไม่ใช่ใครที่เป็นคนทำ หากข้าพเจ้าจัดการกับจิตใจของตัวเองได้เมื่อไรแล้วข้าพเจ้าหวังว่าความทุกข์ในจะหมดไป หากข้าพเจ้ามีความสุขก็จะไม่หลงระเริงกับความสุขนั้นข้าพเจ้าควรจะเตรียมหัวใจเอาไว้แล้วบอกกับตัวเองว่าอีกไม่นานความทุกข์ก็จะมาเยือน เพราะความทุกข์นั้นเป็นของข้าพเจ้าอย่างชอบธรรมไม่ใช่ของคนอื่นเป็นของข้าพเจ้าและของข้าพเจ้าเสมอ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ที่สุดแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจจะจุดเริ่มต้นที่ข้าพเจ้าอาจจะไม่เคยเห็น บางครั้งอาจจะเจอเรื่องดีหรือบางครั้งข้าพเจ้าอาจจะเจอปัญหามากกว่าเดิม ไม่มีอะไรเป็นที่สิ้นสุดไม่มีอะไรตายตัว ข้าพเจ้าแค่เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินชีวิตแต่ข้าพเจ้าไม่ได้เปลี่ยนการเป็นตัวตนของตัวเอง ข้าพเจ้าอยากมองย้อนกลับไปในสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยเป็นกับคนที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย บอกให้พวกเขารู้การเปลี่ยนแปลงของข้าพเจ้าอย่างมีเหตุผล



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น